โตโยต้า กรุงไทย

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โตโยต้า กรุงไทย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โตโยต้า กรุงไทย แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เรื่องที่ควรรู้สำหรับผู้ใช้รถกระบะ


     ต้องยอมรับว่ารถกระบะเป็นประเภทรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทยของเรานะครับ ไม่เพียงเพื่อใช้งานทางด้านพาณิชย์ หรือบรรทุกสิ่งของเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทุกวันนี้รถกระบะยังเป็นรถยนต์ที่สามารถใช้งานได้หลากหลายกิจกรรม เนื่องด้วยรูปลักษณ์การออกแบบทั้งภายใน-ภายนอก และห้องโดยสารที่มีความสะดวกสะบายต่อผู้ใช้งาน พร้อมด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่ตอบสนองกับความต้องการได้หลากหลายรูปแบบการใช้งาน ซึ่งการใช้งานของรถกระบะนั้นอาจจะแตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ของแต่ละคน

     ดังนั้นแล้วเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถกระบะนั้น วิธีการบำรุงรักษาหรือตรวจเช็คสภาพของรถกระบะอย่างสม่ำเสมอนั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้รถของท่านมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และวันนี้เราโตโยต้า กรุงไทย ก็มีวิธีง่ายๆที่จะมาแนะนำ เพื่อให้มีอายุการใช้งานยาวนานมากขึ้น ส่วนจะมีอะไรกันบ้างนั้นเราไปดูกันเลยครับ

1.  หมั่นตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง
       การตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง ถือว่าเป็นสิ่งแรกที่ทุกท่านผู้ใช้รถกระบะจำเป็นต้องตรวจก่อนเลยหลังจากการใช้งาน เพราะระดับน้ำมันเครื่องสามารถบ่งบอกได้ว่ารถของท่านควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแล้วหรือยัง ซึ่งวิธีการตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องในรถกระบะของท่านนั้นก็เป็นเรื่องง่ายๆ เลยก็คือ ท่านต้องเตรียมทิชชู่เพื่อเอาไว้เช็ดคราบน้ำมันจากก้านวัดก่อน วิธีปฏิบัติคือ ดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องซึ่งจะอยู่บริเวณใกล้กับฝาที่ใส่น้ำมันเครื่อง ให้ท่านทำการเช็ดคราบน้ำมันจากก้านก่อนรอบแรก แล้วเสียบกลับที่เดดิมอีกครั้ง แล้วดึงก้านออกมาดู แล้วให้สังเกตุว่าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระดับไหน ซึ่งก้านวัดจะมีระดับขีดบอกอยู่ คือ max-min หรือขีดล่าง L (Min) ขีดบน F (Max) ถ้าหากระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างทั้งสองขีดนี้แสดงว่าปกติ และหากปริมาณน้ำมันเครื่องสีดำมาก และอยู่ต่ำกว่าขีด L หรือสูงกว่าขีด F มากเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้  และควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกๆระยะ 5,000-10,000 กิโลเมตร หรือตามรถยนต์แต่ละรุ่นที่กำหนดไว้ในคู่มือรถ และขึ้นอยู่กับวิธีการใช้งานด้วย

2.  เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะ
       สำหรับข้อนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ท่านได้ตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่อง (จากข้อ1) ให้พิจารณาว่าสมควรที่จะต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง โดยให้สังเกตจากสีของน้ำมันเครื่องว่าในขณะนั้นเป็นสีดำมากน้อยแค่ไหน (วิธีเช็คจากข้อ 1) และโดยทั่วไปแล้วระยะของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่นั้นจะอยู่ที่  5,000-10,000 กิโลเมตร โดยประมาณ ซึ่งการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องนั้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องของการช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ของท่านได้เป็นอย่างดีเลยครับ

3. น้ำยาหล่อเย็น
       น้ำยาหล่อเย็น หรือน้ำยาคูลแลนท์ (Coolant) ที่เหมาะสมต้องออกสีเขียวและปริมาณของน้ำยาต้องอยู่ในระดับกลางๆ ซึ่งต้องไม่อยู่ในระดับต่ำ (Low) ในถังบรรจุน้ำยาหล่อเย็นเกินไป และสีของน้ำยาต้องไม่ออกเป็นสีดำจนเกินไป ซึ่งถ้าตัวน้ำยาหล่อเย็นสีเขียวๆกลายเป็นสีดำเมื่อไหร่ แนะนำให้ท่านนำรถของท่านเข้าที่ศูนย์บริการฯใกล้บ้านท่าน เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจเช็คอย่างระเอียด เพราะศูนย์บริการมีเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานและทันสมัย เพื่อป้องกันและเป็นการถนอมการใช้งานของระบบความเย็นของเครื่องเย็นให้มีอายุการใช้งานให้ยาวนานต่อไป

4. การสลับยางรถยนต์ตามระยะ
       ทำไมถึงต้องสลับยางรถยนต์ตามระยะ ?.. เพราะบางท่านใช้งานรถกระบะก็จะแตกต่างกัน และโดยธรรมชาติแล้ว ยางที่อยู่ล้อหน้านั้นมีโอกาสที่จะสึกหรอก่อนมากกว่ายางหลัง เพราะมาจากการเบรกของรถกระบะส่วนใหญ่ที่มีระบบเบรกอยู่ล้อหน้าเป็นหลักนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและการขับขี่ของแต่ล่ะท่านด้วยน่ะครับ ดังนั้นแล้วเพื่อเป็นการถนอมยางให้มีอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น เราควรสลับยางรถยนต์ตามระยะการใช้งาน อย่างเช่น รถของท่านเปลี่ยนยางใหม่ ซ่งมีการใช้งานไปประมาณ 10,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 6 เดือน ท่านก็ควรนำรถของท่านเข้ารับการบริการที่ศูนย์บริการหรืออู่บริการ ใกล้บ้าน

5. พื้นปูกระบะลายเนอร์
       ปกติแล้วพื้นปูกระบะลายเนอร์ เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามไป ซึ่งแน่นอนส่วนใหญ่รถกระบะก็จะมีพื้นปูกระบะทุกคันอยู่แล้ว และหลายคนก็มองข้ามในเรื่องการดูแลรักษาไปด้วยเช่นกัน เราควรมีการถอดพื้นปูกระบะลายเนอร์ออกมา เพื่อทำความสะอาดตัวกระบะของเราอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากพื้นปูกระบะลายเนอร์นี้ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ กระบะเราเกิดสนิมได้ เพราะใต้พื้นกระบะลายเนอร์ ไม่ได้รับแสงแดด และมีสิ่งปฎิกูลต่างๆหมักหมมเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความชื้นสะสมอยู่เป็นเวลานาน เป็นสาเหตุของการเกิดสนิมกัดกร่อนตัวกระบะเรา เป็นภัยเงียบที่เราไม่ควรมองข้ามนะครับ

ขอขอบคุณบทความ เรื่องที่ควรรู้สำหรับผู้ใช้รถกระบะ จากสาระความรู้ โตโยต้า กรุงไทย

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อาการรถเหินน้ำ คือ ?


     ช่วงนี้ ฝนตก น้ำขัง หรือพื้นผิวถนนลูกรังที่มีร่องน้ำขัง เคยได้ยินคำว่า “อาการรถเหินน้ำ”  ไหมครับ อาการเหินน้ำมักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยจะมีความรู้สึกขณะขับขี่ก็รู้สึกว่ารถเริ่มจะลอยๆ ทุกครั้งที่ผ่านพื้นที่บริเวณที่มีน้ำขัง

     ไฮโดรเพลน ตามศัพท์ของยานยนต์คือ อาการที่ล้อรถยนต์ลอยจากพื้นถนน (ผิวยางไม่สัมผัสกับพื้นถนนในขณะขับขี่) ซึ่งอาการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อรถยนต์วิ่งในพื้นที่มีน้ำขังบนถนนหรือข้างทางถนน (แล้วแต่พื้นที่) หรือพื้นที่ที่มีน้ำขังเนื่องจากฝนตก น้ำท่วมรอการระบาย ซึ่งจะทำให้รถเกิดการสูญเสียการทรงตัวและไม่สามารถควบคุมรถได้เมื่อผ่านพื้นที่ในลักษณะแบบนั้น

     สำหรับวิธีฏิบัติหากท่านต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ คือ ต้องจับพวงมาลัยให้แน่น และควรควบคุมพวงมาลัยด้วย 2 มือ ในขณะที่ขัยรถไม่ควรที่จะขับรถเร็ว แตะเบรคเพื่อชะลอลดความเร็วของรถลง ที่สำคัญ อย่าเหยียบเบรกกระทันหัน เพราะไม่อย่างนั้นรถของท่านอาจเกิดการสะบัดและสูญเสียการควบคุมการทรงตัวได้

ขอขอบคุณบทความจาก : Toyotakrungthai

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2561

อาการของเกียร์รถยนต์ที่มีแววว่าจะพัง


1.เกียร์ไม่เข้าตามตำแหน่ง
เมื่อท่านได้ขับรถยนต์ของท่านแล้วรู้สึกว่าการเข้าเกียร์บางตำแหน่งเป็นไปได้ยาก นั่นเป็นสัญญาณหนึ่งที่สำคัญ (อันนี้ต้องอาศัยความรู้สึกเบื้องต้นในขณะตอนขับก่อนนะครับ) ที่บอกเรื่องอายุไขของเกียร์ได้ แม้เรื่องนี้อาจจะเกิดในระบบเกียร์ธรรมดามากกว่า แต่ก็เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยเช่นกัน ซึ่งในบางครั้งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิค ตั้งแต่น้ำมันเกียร์มีปริมาณต่ำกว่าที่กำหนด รวมถึง อาจะหมายถึงคุณใช้ความหนืดผิดจากที่กำหนด ซึ่งมีผลต่อการทำงานของชุดเฟืองในเกียร์ ถ้าตรวจสอบแล้วถูกต้องก็เตรียมพร้อมซ่อมเกียร์ได้เลย
2.กลิ่นไหม้จากเกียร์
จริงๆแล้วเมื่ออะไรก็ตามจะพังมันมักจะส่งสัญญาณมาบอกก่อนครับ อย่างเกียร์รถยนต์นี้ก็สังเกตได้จากกลิ่นไหม้ครับ ซึ่งถ้าหากมีกลิ่นแล้ว ทางทีมงานก็อยากจะแนะนำว่าขอให้ท่านผู้รักรถยนต์อย่าทำตัวคุ้นเคยกับมันนะครับ เพราะ เมื่อมีกลิ่นไหม้มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีกลิ่นไหม้ โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อชุดเกียร์มีความผิดปกติ เกียร์ทำงานหนัก ทำให้น้ำมันบางส่วนถูกเผาไหม้และกลายเป็นกลิ่นออกมาเตือนคุณ ถ้ามีกลิ่นไหม จงจำไว้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเลย ซึ่งถ้ามีอย่างนี้แล้วให้ท่านนำรถยนต์ของท่านเข้า ศูนย์บริการและอะไหล่ ที่ใกล้บ้านเลยจะดีที่สุดครับ
3.เสียงไม่พึงประสงค์
อีก 1 ข้อสังเกตเรื่องเกียร์รถยนต์นั้นคือเสียง ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงจอดรถเข้า เกียร์ว่างหรือตำแหน่ง เกียร์  N  หากรถคุณเป็นเกียร์อัตโนมัติจากนั้น คอยเงี่ยหูฟังเสียงคล้ายเหล็กกระทบกันดู ถ้ามีเสียงให้รีบตรวจสอบทันที เพราะการมีเสียงอาจหมายถึงมีชิ้นส่วนบางอย่างกำลังสึกหรอ อาจจะเป็นตัวฟันเฟืองเกียร์เองหรือกระทั่งพวกลูกปืนต่างๆ ซึ่งจะมีเสียได้ถ้า มันอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์
4.เกียร์ลื่น
อาการนี้ท่านผู้รักรถยนต์มักเจอในระบบ เกียร์ธรรมดา มากกว่าครับลองให้ท่านนึกดูนะครับว่ามีไหมที่คุณขับรถยนต์อยู่ดีๆ แล้วปรากฏว่าเกียร์รถยนต์ที่เข้าตามตำแหน่งถูกเลื่อนออกมาที่ตำแหน่งเกียร์ว่าง ซึ่งในเกียร์อัตโนมัติเองก็อาการคล้ายๆกัน แต่จะเห็นชัดมากกว่าตอนที่คุณเร่ง เช่นใช้คันเร่งเท่าเดิม แต่ใช้เวลามากขึ้น หรือรถไม่ค่อยวิ่งทั้งที่เร่งเต็มพิกัด อาการเกียร์ลื่นเอง มักมีสาเหตุจากน้ำมันเกียร์อยู่ในระดับต่ำเกินไป บางครั้งอาจะมีส่วนมาจากคลัทช์ลื่น หรือผ้าคลัทช์เหลือน้อยด้วยครับ
อาการนี้ท่านผู้รักรถยนต์อาจจะไม่เกี่ยวกับตัวชุดเกียร์โดยตรงและมักเป็นมากในรถยนต์เกียร์ธรรมดา แต่อาการคลัทช์ติดอาจเกิดขึ้นได้กับท่านผู้รักรถยนต์ โดยเฉพาะคนที่ชอบขับรถที่มีอายุการใช้งานที่มาก ซึ่งอาการนี้เกิดจากคลัทช์เองไม่สามารถแยกตัวออกจากล้อช่วยแรง หรือภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Fly Wheel ซึ่งมันจะติดอยู่กับเครื่องยนต์ได้และมันทำให้คุณไม่สามารถเข้าตำแหน่งเกียร์อื่นๆได้ เนื่องจากคลัทช์ยังทำงานอยู่ ซึ่งการฝืนอาจจะทำให้ชุดเกียร์ได้รับความเสียหายได้ครับ
6.น้ำมันเกียร์รั่ว
เป็นอาการที่ชัดเจนและท่านผู้รักรถยนต์สามารถสังเกตได้ครับ เพราะเกิดได้ทั้งกับเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ โดยอาจจะเริ่มแค่ซึมๆ ตามห้องเกียร์ แต่อย่ามองข้าม เพราะมันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ได้ การที่ชุดเกียร์มีระดับน้ำมันต่ำ อาจทำให้เกิดอุณหภูมิสูงในชุดเกียร์ และพังในท้ายที่สุด แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่การซ่อมก็ไม่ง่ายเพราะ การถอดประกอบเกียร์ต้องมีความชำนาญการไม่ต่างจากเครื่องยนต์ตามศูนย์บริการและอะไหล่ของค่ายรถยนต์ต่างๆครับ
7.อาการเกียร์ไม่ตอบสนอง
อาการนี้เรียกว่าหนักสุดๆเลยครับ ท่านผู้รักรถยนต์ลองนึกดูนะครับจะเป็นอย่างไร ถ้าเกียร์ดับสนิทง่ายมากมันจะไม่ตอบสนองเลย โดยทั่วไปแล้วอาการนี้มักพบกับเกียร์อัตโนมัติมากกว่า เมื่อคุณเข้าตำแหน่งที่ต้องการแล้ว กลับพบว่าชุดเกียร์ไม่สามารถเดินหน้าหรือถอยหลังได้ ตายสนิทมันอยู่ตรงนั้นนั่นแหละบางครั้งในกรณีเดียวกัน อาจจะมีอาการคล้ายคลัทช์หรือเกียร์ลื่น ซึ่งลักษณะดังกล่าวมักจะเจอในเกียร์ธรรมดา ซึ่งถ้าเกิดอาการนี้ ทีมงานแนะนำเลยครับว่าให้รีบนำรถยนต์ของท่านเข้าศูนย์บริการและอะไหล่ของท่านโดยเร็วที่สุดเลยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 อย่างที่ห้ามทำสำหรับคนที่มีรถเกียร์ธรรมดา


1.ไม่เหยียบคลัทช์ค้างไว้ขณะจอดติดไฟแดง
ถึงแม้ว่าท่านผู้รักรถยนต์จะขับรถยนต์เกียร์ธรรมดาส่วนใหญ่จะใส่เกียร์ว่างขณะรถจอดติดไฟแดง เพราะไม่อยากเหยียบคลัทช์ให้เมื่อยขา แต่บางคนก็เลือกที่จะเข้าเกียร์พร้อมกับเหยียบคลัทช์ค้างเอาไว้ในบางโอกาส เนื่องจากต้องการความรวดเร็วในการออกตัว แต่การเหยียบคลัทช์ค้างไว้นั้น จะทำให้ลูกปืนคลัชท์เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น ทางที่ดีจึงควรใส่เกียร์ว่างทุกครั้งเมื่อรถยนต์หยุดนิ่งดีกว่าครับ

2.ใช้เกียร์สูงขณะที่ความเร็วต่ำ

ท่านผู้รักรถยนต์ไม่ควรใช้เกียร์สูงในขณะขับขี่ที่ความเร็วต่ำ อย่างเช่น ท่านกำลังใช้เกียร์ 5 ขณะที่ท่านขับขี่ด้วยความเร็วต่ำเพียง 40 กม./ชม. โดยเฉพาะการเหยียบคันเร่งจมมิด เพราะจะเป็นการฉุดกำลังเครื่องยนต์ เร่งไม่ขึ้น อีกทั้งยังเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุอีกด้วย ทางที่ดีควรใช้ตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมในแต่ละย่านความเร็วครับ

3.ไม่ควรวางมือไว้บนคันเกียร์

หลายท่านมักจะเกิดความเคยชินด้วยการใช้คันเกียร์เป็นที่พักมือทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้ ซึ่งในกรณีเกียร์ออโต้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่สำหรับเกียร์ธรรมดานั้น หากกดน้ำหนักมือมากจนเกินไป จะสร้างแรงกดไปยังก้ามปูเกียร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการหลวมจนเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควรจะเป็นได้ครับ

4.ไม่เร่งเครื่องขณะจอดติดทางชัน

ถ้าหากท่านผู้รักรถยนต์ได้จอดติดบนทางชันนั้น ท่านไม่ควรใช้วิธีเร่งเครื่องเพื่อป้องกันรถไหล เพราะอาจทำให้คลัทช์ไหม้ได้ ทางที่ดีควรเหยียบเบรก ปลดเกียร์ว่าง แล้วจึงดึงเบรกมือค้างไว้ หากกลัวว่ารถจะไหลไปข้างหลังขณะออกตัว ให้ใช้วิธีดึงเบรกมือจนสุด เร่งเครื่องยนต์ตามปกติ จากนั้นจึงปลดเบรกมือลง จะช่วยให้รถไม่ไหลลงทางชัน แต่ทางที่ดีควรฝึกขับเกียร์ธรรมดาให้คุ้นชิน เพื่อจะได้กะระยะปล่อยคลัทช์ได้อย่างแม่นยำครับ

5.ไม่วางเท้าบนแป้นคลัทช์

เป็นข้อห้ามสุดคลาสสิกสำหรับรถเกียร์ธรรมดาเลยก็ว่าได้ เพราะการวางเท้าบนแป้นคลัทช์ด้วยน้ำหนักมากจนเกินไป จะทำให้ชุดคลัทช์เกิดการเสียดสีจนทำให้คลัทช์หมดได้ บางกรณีอาจทำให้เกิดอาการคลัทช์ไหม้ได้อีกด้วยจะสังเกตได้จากกลิ่นนั้นเองครับ

ขอขอบคุณบทความจาก : Toyota Krungthai

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 สิ่งที่ห้ามทำสำหรับคนที่มีรถเกียร์ออโต้


1.เมื่อจะต้องหยุดรถเป็นระยะเวลานานๆ ท่านไม่สมควรใส่เกียร์ไว้ในตำแหน่ง D ค้างไว้ ถึงแม้กระนั้น ท่านควรที่จะเลื่อนไปตำแหน่งเกียร์ N หรือ P แล้ว ดึงเบรกมือไว้ การที่ท่านใส่เกียร์ D ค้างไว้เป็นระยะเวลานานๆแล้ว มันจะส่งผลให้เกิดความร้อนสะสม ซึ่งทำให้องค์ประกอบด้านในชุดห้องเกียร์เกิดความเสียหาย อีกทั้งยังลดอายุการใช้งานให้สั้นลด ซึ่งนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้
2.เกียร์ออโต้ในรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ จะมีโหมดให้เลือกเปลี่ยนเกียร์เองเหมือนเกียร์แมนนวล ในส่วนนี้จะทำให้ประสิทธิภาพการตอบสนองนั้นสู้เกียร์แมนนวลแท้ ๆ แบบมีคลัตช์ไม่ได้ ทำให้หลายคนชอบลากรอบเครื่องยนต์ให้สูง แล้วค่อยชิพเปลี่ยนเกียร์ที่คันเกียร์ หรือแพทเดิลชิพที่พวงมาลัยหรือวิ่งด้วยความเร็วสูงแล้วเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ทำให้รอบเครื่องสูงไม่สัมพันธ์กับความเร็ว จะทำให้เกียร์ได้รับความเสียหายได้ ควรใช้ตำแหน่งเกียร์และความเร็วที่เหมาะสมสัมพันธ์กัน ไม่ควรใช้รอบเครื่องยนต์สูงโดยไม่จำเป็น
3. การใช้เกียร์ออโต้ในตำแหน่ง 1 หรือ L นั้น ควรใช้ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ จริงๆแล้ว กรณีนี้ควรจะใช้ในกรณีที่ต้องการแรงบิดที่มากขึ้นเวลาขึ้นทางลาดชัน ติดหล่ม ลากรถขึ้นจากหล่ม หรือเวลาลงทางชัน ต้องการใช้เอ็นจินเบรก แทนการใช้เบรกที่ล้อที่จะเกิดความร้อนสะสมได้ การใช้เกียร์ออโต้ในตำแหน่ง 1 หรือ L นั้น ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเป็นระยะทางไกล ๆ เพราะจะทำให้เกิดความร้อนสะสมในห้องเกียร์ได้ซึ่งนำมาให้ระบบเกียร์เกิดความเสียหายได้ในระยะยาว
4. การขับรถเกียร์ออโต้นั้น ถ้าผู้ขับขี่ไม่มีความชำนาญหรือความคุ้นเคยกับเกียร์ออโต้ของรถแต่ละคันแล้วจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน สำหรับในการคิ๊กดาวน์ หรือชิพดาวน์เพื่อต้องการอัตราเร่งเพื่อแซงรถคันหน้านั้น การตอบสนองของรถแต่ละยี่ห้อและรุ่นตอบสนองไม่เหมือนกัน บางรุ่นตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจ บางรุ่นจะมีหน่วงอยู่บ้าง ผู้ขับขี่ควรเรียนรู้และมีสร้างความคุ้นเคยกับรถที่ขับให้เป็นอย่างดี การเร่งแซงที่ผิดจังหวะ หรือกะระยะไม่ดี จะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
5. เกียร์ออโต้ก็ต้องการบำรุงรักษาเช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์ สำหรับการบำรุงรักษาโดยปกติจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ ควรเปลี่ยนตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด อย่าฝืนใช้เกินกำหนดเป็นระยะทางเป็นเวลานาน บรรดาเศษโลหะจะสะสมในห้องเกียร์มากขึ้น และจะทำให้ระบบเกียร์ทำงานไม่ได้สมบูรณ์การระบายความร้อนห้องเกียร์ก็จะทำได้ไม่เต็มที่ อายุการใช้งานสั้นลง ต้องเข้าโรงซ่อมเพียงอย่างเดียวและเมื่อต้องซ่อมเกียร์จะเสียทั้งเวลาและเงินไปโดยใช่เหตุ
และสำหรับการดูแลและรักษายืดอายุการใช้งาน เกียร์ออโต้ นั้นทำได้ไม่ยากเพียงแค่ท่านผู้รักรถยนต์ลองฝึกและปฏิบัติตาม สร้างความคุ้นเคยกับ เกียร์ออโต้  ในรถยนต์ของท่านกันถึงแม้ท่านจะขับรถยนต์ได้คล่องขนาดไหน แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุก็ยังมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้เสมอท่านสามารถติดตาม เกร็ดความรู้รถยนต์ และ สาระความรู้รถยนต์ ได้ที่เว็บไซต์ โตโยต้า กรุงไทย ซึ่งคราวหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น ต้องคอยติดตาม
นอกจากนี้ทางเรายังมีบริการอื่นๆจาก ศูนย์ซ่อมตัวถังและสี, ศูนย์บริการและอะไหล่ 
ไว้บริการท่านอีกด้วย

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

7 สิ่งที่ต้องเปลี่ยนบ่อยเพื่อยืดอายุการใช้งานของรถ



1.น้ำมันเครื่องรถยนต์
: สำหรับน้ำมันเครื่องรถยนต์เป็นสิ่งแรกของรถยนต์ที่ต้องจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นสิ่งแรกๆเลยครับ นั่นเนื่องมาจากการใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวันครับ พูดง่ายๆเลยก็คือ ยิ่งใช้งานรถบ่อยขึ้นเท่าไหร่ก็ต้องยิ่งเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถยนต์มากขึ้นเท่านั้นครับ แต่ตามหลักของอายุการใช้งานแล้วควรจะเปลี่ยนตั้งแต่ 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรครับ

2.ใส้กรองน้ำมันเครื่อง : ผลพวงของการใช้งานรถยนต์นั่นแหละครับ คือการใช้งานรถยนต์นั้นใส้กรองน้ำมันเครื่องก็มีหน้าที่ในการกรองสิ่งสกปรกที่อาจจะหลุดเข้าไปในเครื่องยนต์ ซึ่งเจ้าตัวนี้เขาก็มีหน้าที่กรองสิ่งสกปรกนั่นแหละครับ แต่ตามหลักของอายุการใช้งานแล้วควรจะเปลี่ยนตั้งแต่ 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรครับ

3.ใส้กรองอากาศรถยนต์ : สำหรับใส้กรองอากาศรถยนต์สิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยกรองอากาศที่จะเข้าสู่ห้องโดยสารและยังส่วนทำให้เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ด้วยครับ โดยอาการที่เราจะสังเกตเห็นได้ชัดเลยก็คือ เครื่องยนต์มีอัตรากำลังเร่งแผ่วลง – อาการของเครื่องยนต์มีการสั่น – อัตราการกินน้ำมันเชื้อเพลิงเปลืองมากกว่าปกติ และ ควันไอเสียมีสีดำเข้มตอนที่ทำการเร่งเครื่องยนต์

4.ผ้าเบรกรถยนต์ : ในส่วนของผ้าเบรกรถยนต์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องดูแลเป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือความปลอดภัยของการขับขี่รถยนต์เลยก็ว่าได้ ซึ่งในส่วนของผ้าเบรกรถยนต์ที่มักจะเสื่อมสภาพก็มักจะเป็นส่วนของเหล็กตรงก้ามเบรกที่อาจจะไปสีกับจานเบรกทำให้จานเบรกเป็นรอยและอาจทำให้จานเบรกแตกหักได้ในอนาคต ดังนั้นแล้วในส่วนของ ผ้าเบรกรถยนต์ เป็นสิ่งที่ต้องดูแลตามระยะการใช้งานซึ่งทางทีมงานแนะนำว่า ถ้าท่านใช้รถบ่อยก็ก็ประมาณ 10,000 กิโลเมตร ควรนำรถยนต์เข้ามาเช็กระยะกับ ศูนย์บริการและอะไหล่  หรือถ้าท่านไม่ค่อยได้ใช้งานรถยนต์มากเท่าไหร่ก็ควรจะอยู่ที่ 20,000 – 30,000 กิโลเมตร

5.แบตเตอรี่ : ในส่วนของแบตเตอรี่รถยนต์ตามหลักของอายุการใช้งานแล้ว โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 1-2 ปี จึงควรทำการเปลี่ยน

6.ยางปัดน้ำฝน : สำหรับยางปัดน้ำฝนเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปัดน้ำฝนและเพิ่มวิสัยทัศน์ในการมองเห็นในตอนที่ฝนตก ซึ่งสาเหตุที่ต้องเปลี่ยน ยางปัดน้ำฝน ก็เป็นเพราะในยามที่แดดส่องใส่ตรงกระจกนั้นความร้อนของแดดจะทำให้ตัวยางปัดน้ำฝนที่ติดอยู่กับกระจกนั้นเสื่อมสภาพในการใช้งานได้ดังนั้นควรปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นตอนฝนตกจะดีที่สุดครับ หรือควรเปลี่ยนทุก 1 ปี ครับ

7.หัวเทียน : สำหรับหัวเทียนนั้นหลักของการใช้งานรถยนต์นั้น ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี เพื่อป้องกันในส่วนของระบบการสตาร์ทของเครื่องยนต์มีปัญหาที่จะตามมาครับ
----------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : โตโยต้า รามอินทรา 
---------------------------------------------------------------------------------- 

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ระบบ TELEMATICS ในรถยนต์โตโยต้าคืออะไร ?


1. หาพิกัด (FIND MY CAR)
ในระบบ TELEMATICS ที่มากับเจ้าตัว TOYOTA CHR นั้นเพื่อป้องกันรถหายนั่นเองครับ โดยเจ้าตัวระบบ FIND MY CAR จะทำการบอกตำแหน่งที่ตั้งของรถที่จอดอยู่เพื่อให้เจ้าของรถทราบว่าตอนนี้รถของท่านกำลังจอดอยู่ที่ไหนนั่นเอง

2. ประกันภัยจ่ายตามระยะ (PAY AS YOU DRIVE)
คุณสมบัติของระบบนี้อีกอย่างก็คือ ให้เลือกใช้ประกันภัยแบบ ขับน้อย จ่ายน้อยข้อเสนอการคุ้มครองสุดพิเศษให้คุณจ่ายตามการใช้งานจริง *สำหรับการทำประกันภัยกับบริษัทฯ ที่กำหนดไว้เท่านั้น*

3. ระบบการช่วยเหลือแบบฉุกเฉิน (SOS)
ในส่วนของระบบการช่วยเหลือแบบฉุกเฉิน ซึ่งเจ้าตัวระบบนี้จะเป็นระบบที่ให้ผู้ใช้รถยนต์ที่มีปัญหากลางทางไม่ว่าจะเวลาไหน (ตลอด 24 ชั่วโมง) สามารถติดต่อกับขอความช่วยเหลือได้ตลอด *แน่นอนว่าบางกรณีอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม*

4. แจ้งเตือน (PARKING ALERT)
คุณสมบัติของระบบนี้คือใช้ได้จริงกับระบบแจ้งเตือนผ่าน Notification เมื่อรถถูกสตาร์ท หรือ รถกำลังถูกเคลื่อนที่นั่นเองครับ

5. การหาตำแหน่งรถยนต์เมื่อถูกขโมย (STOLEN VEHICLE TRACKING)
คุณสมบัติของระบบตัวนี้คือ เป็นระบบตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์ เมื่อถูกโจรกรรมและ ศูนย์บริการ ที่พร้อมให้ช่วยเหลือคุณตลอด 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่รถยนต์ของคุณถูกขโมยไป

6. สัญญาณอินเตอร์เน็ตไวไฟ (MY TOYOTA WI-FI)
อีก 1 ตัวเด็ดของระบบ TELEMATICS ที่มีในรถโตโยต้านั่นก็คือ Wi-Fi ในรถที่ท่านสามารถเชื่อมต่อความบันเทิงออนไลน์ ได้พร้อมกัน สูงสุด 9 อุปกรณ์ *ตามเงื่อนไขที่กำหนดในแพ็กเกจ*

7. ระบบช่วยค้นหาเส้นทาง OPS (OPERATOR SERVICE)
ในส่วนของระบบช่วยค้นหาเส้นทางนั้นเป็นระบบที่ท่านสามารถ ค้นหาเส้นทางได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งบริการจองร้านอาหารชั้นนำ เพื่อความสะดวกสบายทุกการเดินทาง และสนุกไปกับการเดินทางแบบ Live Alive
 
8. ระบบนำทาง (NAVIGATOR)
ในส่วนของระบบนำทางแบบ NAVIGATOR ที่มาพร้อมในรถของโตโยต้า รุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็น Toyota Fortuner, Toyota Camry, Toyota CHR พร้อมแสดงการข้อมูลจราจร ให้ท่านได้ถึงจุดหมาย ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและแม่นยำดียิ่งขึ้น
---------------------------------------------------------------------------------------------------
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก : โตโยต้า กรุงไทย
---------------------------------------------------------------------------------------------------